พี่วาฬเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินเรื่อง โครงการปลูกป่า ของบริษัทต่าง ๆ และอาจจะคิดว่าเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมเท่านั้นใช่ไหมครับ?
จริง ๆ แล้ว การปลูกป่า คือการเริ่มต้นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการปลูกต้นไม้อย่างเดียว
โดยเฉพาะกับโครงการ ปลูกป่า ปตท.
ที่ไม่ได้แค่การเพิ่มพื้นที่สีเขียว
แต่ยังต่อยอดสู่การสร้างเครือข่ายอนุรักษ์ป่าให้ยั่งยืนผ่านศูนย์การเรียนรู้และโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งต่อผลลัพธ์เชิงบวกให้ทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจในอนาคต
“ปลูกป่า ได้มากกว่าต้นไม้” หัวใจสำคัญของ ปลูกป่า ปตท.
พี่วาฬขอเล่าให้ฟังก่อนว่า เป้าหมายสำคัญในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของ ปลูกป่า ปตท. เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 ด้วยการเปิดรับอาสาปลูกป่า 1 ล้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่ป่าทั่วประเทศ ตั้งแต่ป่าดิบเขา ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบลุ่มต่ำ ไปจนถึงป่าพรุและป่าชายเลน
โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ 1 ล้านไร่นี้ ไม่ได้หยุดแค่การฟื้นฟูพื้นที่ป่าที่ถูกทำลาย หรือการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเท่านั้น แต่ยังปลูกฝังการตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ และที่สำคัญคือ การขยายเครือข่ายความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการอนุรักษ์ดิน น้ำ ป่า ผ่าน “โครงการลูกโลกสีเขียว” ที่เริ่มในปี พ.ศ. 2542 โดยเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐและชาวบ้านได้แลกเปลี่ยนความรู้ กลายเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลป่าอย่างยั่งยืน
ในปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา ปตท. ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องกับกิจกรรม “ปลูกป่า 7 หมื่น 2 พันไร่ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” ภายใต้โครงการ “ปตท. จุดพลังชีวิตพลิกผืนป่า” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสำคัญในการมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 นั่นเอง
โครงการนี้มีเป้าหมายใหญ่ในการเพิ่มพื้นที่ปลูกป่าทั่วประเทศรวม 2 ล้านไร่ ซึ่งแบ่งเป็นการดำเนินการโดย ปลูกป่า ปตท. 1 ล้านไร่ และความร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. อีก 1 ล้านไร่ โดยทุกแปลงปลูกขึ้นจะทะเบียนในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐาน T-VER เพื่อยกระดับการฟื้นฟูป่าให้เป็นไปตามหลักวิชาการ พร้อมทั้งดูแลรักษาแปลงป่าเดิมให้สมบูรณ์ และพัฒนาเป็น ศูนย์รวมและเผยแพร่องค์ความรู้การปลูกป่า ของ ปตท. ที่จะผลักดันความยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ผลการวิจัยของศูนย์วิจัยป่าไม้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ยังพบว่า โครงการปลูกป่าของ ปตท. ตั้งแต่ปี 2537-2567 ที่ผ่านมา สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้เฉลี่ย 1.87 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าผลประโยชน์จากป่าได้กว่า 300 ล้านบาทต่อปีเลยล่ะ!
และไม่เพียงแค่โครงการปลูกป่าขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ ปตท. ยังมุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง ผ่านการร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น
ปตท. ร่วมกับพันธมิตรสร้างพื้นที่สีเขียวเพื่อสังคมและชุมชน
เช่น โครงการ OUR Khung BangKachao (คุ้งบางกะเจ้า)
ปตท. ได้ร่วมมือกับมูลนิธิชัยพัฒนาและกว่า 113 องค์กร ในการดำเนินโครงการรักษาพื้นที่สีเขียว “คุ้งบางกะเจ้า” กว่า 6,000 ไร่ ซึ่งถือเป็นปอดของกรุงเทพฯ โดยมีความก้าวหน้าตามเป้าหมายในการปลูกต้นไม้เพิ่มกว่า 80,000 ต้น และสร้างรายได้ให้ชุมชนผ่านการจ้างงานและการจัดหากล้าไม้ท้องถิ่น อีกทั้งยังใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและโดรนเพื่อติดตามและประมวลผล ซึ่งพบว่า พื้นที่สีเขียวในปัจจุบันเพิ่มขึ้นถึง 30% จากเดิม 4,705 ไร่ เป็น 6,148 ไร่ ภายในปี 2562
โครงการนี้ ยังได้สร้างเครือข่ายชุมชน “คนรักคุ้งบางกะเจ้า” และกลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ให้มีส่วนร่วมดูแลพื้นที่สีเขียวให้คงอยู่ยั่งยืนในระยะยาว
ไม่เพียงเท่านั้น ปตท. ยังร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และจังหวัดระยอง ในการจัดกิจกรรมปลูกป่าเพิ่มพื้นที่สีเขียว ณ เขาหองแห จังหวัดระยอง ภายใต้โครงการเขาจอมแหเปิดประตูสู่ระยอง ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 โดยได้เพิ่มพื้นที่สีเขียวแล้วกว่า 64 ไร่ และล่าสุดในปี 2567 ได้ปลูกเพิ่มอีก 36 ไร่ จนครบ 100 ไร่ เพื่อสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ขององค์กร ควบคู่กับการฟื้นฟูระบบนิเวศ สร้างแหล่งกักเก็บน้ำบรรเทาอุทกภัย และเสริมรายได้ให้กับวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่เขาจอมแห
ปลูกความรู้คู่ป่าผ่าน 4 ศูนย์เรียนรู้ระบบนิเวศ
นอกจากการปลูกป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและการสร้างรายได้ให้ชุมชนแล้ว สถาบันปลูกป่าและระบบนิเวศ ปตท. ยังได้ต่อยอดภารกิจจากโครงการปลูกป่า 1 ล้านไร่ โดยมุ่งเน้นการปลูกป่าเชิงกลยุทธ์เพื่อประโยชน์แก่สังคมและชุมชน พร้อมสะสมองค์ความรู้กว่า 25 ปี ในการปลูกป่าและวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อเผยแพร่และปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการยกระดับการให้ความรู้ทางวิชาการผ่านศูนย์เรียนรู้ระบบนิเวศทั้ง 4 แห่งนี้
1. ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี (ประจวบคีรีขันธ์)
ศูนย์เรียนรู้แห่งนี้เคยเป็นพื้นที่ที่เคยเป็นนากุ้งร้าง แต่ได้รับการฟื้นฟูจนกลายเป็นป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ขนาด 387 ไร่ จนปัจจุบันเป็นแหล่งการเรียนรู้ระดับประเทศและภูมิภาค
และป่าชายเลนแห่งนี้ยังมีคุณสมบัติในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเป็นต้นแบบในการฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรมสู่ป่าชายเลนที่ยั่งยืน รวมถึงสร้างรายได้ให้ชุมชนจากการท่องเที่ยวและการประมงท้องถิ่นอีกด้วย
2. ศูนย์เรียนรู้ป่าในกรุง (กรุงเทพมหานคร)
ศูนย์แห่งนี้เปิดในปี พ.ศ. 2558 ตั้งอยู่บนถนนสุขาภิบาล 2 มีพื้นที่ 12 ไร่ เป็นแหล่งเรียนรู้และพื้นที่สีเขียวที่สำคัญกลางเมืองที่ออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติ รวมถึงเป็นแหล่งรวมพันธุ์ไม้พื้นถิ่นของกรุงเทพฯ และรวบรวมองค์ความรู้ของการปลูกป่าและอนุรักษ์ป่าของ ปตท. แถมปัจจุบันเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับกิจกรรมที่ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสำหรับคนเมืองด้วยนะ
3. ศูนย์เรียนรู้ป่าวังจันทร์ (ระยอง)
ตั้งอยู่ในอำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 351 ไร่ ศูนย์นี้ออกแบบโดยคำนึงถึงระบบนิเวศและประโยชน์ใช้สอยที่ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยที่สุด มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมองค์ความรู้และนวัตกรรมการฟื้นฟูป่าหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะ “วนเกษตร” ที่ปลูกไม้ยืนต้น พืชไร่ พืชสวน และการทำนาแบบผสมผสาน รวมถึงยังเป็นพื้นที่นำร่องในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ (T-VER) สาขาป่าไม้ ตามมาตรฐานของประเทศไทยด้วย
4. ศูนย์เรียนรู้สวนเฉลิมพระเกียรติฯ 80 พรรษา (สมุทรปราการ)
เป็นแหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง พื้นที่สีเขียวขนาด 38 ไร่ ที่เชื่อมโยงกับชุมชนคุ้งบางกะเจ้า ศูนย์นี้เน้นการพัฒนาองค์ความรู้และเผยแพร่งานวิจัยเกี่ยวกับการดูแลระบบนิเวศในพื้นที่ โดยเฉพาะการฟื้นฟูป่าในเมืองและป่าริมน้ำ (แม่น้ำเจ้าพระยา) เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนทั่วไปนั่นเอง
สรุปจากพี่วาฬ โครงการปลูกป่า ปตท. จุดประกายความยั่งยืนที่แท้จริง
จากที่พี่วาฬพาเพื่อน ๆ มาชมโครงการทั้งหมด จะเห็นได้ชัดว่า โครงการปลูกป่าของ ปตท. ไม่ได้หยุดอยู่แค่การปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวเท่านั้น แต่คือการลงทุนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ผ่านการบูรณาการความรู้ เทคโนโลยี ความร่วมมือกับชุมชน และการพัฒนาบุคลากร
เพราะโครงการปลูกป่า ปตท. ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ การฟื้นฟูระบบนิเวศ การสร้างรายได้ให้ชุมชน การเสริมสร้างองค์ความรู้ ไปจนถึงการปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับคนรุ่นใหม่
พี่วาฬเชื่อว่านี่คือตัวอย่างขององค์กรใหญ่ที่ก้าวข้ามบทบาทเดิม ๆ มาสู่การเป็นผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน และความมุ่งมั่นนี้จะส่งต่อแรงบันดาลใจให้สังคมไทยและพาโลกของเราก้าวไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างแน่นอนเลย!
แหล่งข้อมูล
- https://www.pttplc.com/th/Sustainablegrowthforall/Planet/Planet.aspx
- https://www.dailynews.co.th/news/4216551/
- https://www.pttplc.com/th/Media/News/Content-41323.aspx