สวัสดีครับเพื่อน ๆ วันนี้พี่วาฬมีเรื่องราวดี ๆ มาเล่าให้ฟังครับ โดย Brand Finance บริษัทที่ปรึกษาด้านการประเมินมูลค่าแบรนด์ชั้นนำของโลก ได้ประกาศผลการจัดอันดับแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดในไทย 50 อันดับ ในปี 2025 (Thailand 50 2025) และผลก็คือ ปตท. (PTT) ได้รับการจัดอันดับเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 (พ.ศ. 2564 – 2568)
โดย มูลค่าแบรนด์ ปตท. ในปัจจุบันอยู่ที่ 9.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (3 แสนล้านบาท) เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง ร้อยละ 11 แต่เพื่อน ๆ เคยสงสัยไหมครับว่า “มูลค่าแบรนด์” ที่เขาจัดอันดับกันเนี่ย เขาวัดจากอะไร? แล้วทำไม ปตท. ถึงรักษาแชมป์ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เดี๋ยววันนี้พี่วาฬจะมาย่อยให้ฟังครับ
“มูลค่าแบรนด์” เขาคิดกันยังไง?
พี่วาฬบอกเลยว่า “มูลค่าแบรนด์” นี่ไม่ใช่การโหวตจากความนิยมนะครับ แต่มันคือการคำนวณทางการเงินที่ซับซ้อน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ตามมาตรฐาน ISO 10668 และ ISO 20671 โดยหลักการที่ Brand Finance ใช้ประเมินแบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ครับ
- วัด “ความแข็งแกร่งของแบรนด์” (Brand Strength Index – BSI)
ส่วนนี้คือการวัดประสิทธิภาพของแบรนด์ในเชิงคุณภาพ (คะแนนเต็ม 100) เพื่อดูว่าแบรนด์นี้ “มีความแข็งแกร่ง” แค่ไหน โดยจะดู 3 ด้านหลัก ๆ คือ
- การลงทุนด้านการตลาด (Marketing Investment): แบรนด์ทุ่มงบและจัดกิจกรรมสร้างแบรนด์มากแค่ไหน
- คุณค่าของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Equity): ภาพลักษณ์และความภักดี (Loyalty) ของแบรนด์ในสายตาลูกค้า นักลงทุน และสาธารณชนเป็นอย่างไร
- ผลการดำเนินธุรกิจ (Business Performance): แบรนด์มีตัวเลขรายได้ ผลกำไร การขยายตลาด และศักยภาพการเติบโตในอนาคตเป็นอย่างไร
คะแนนทั้งสามด้านจะถูกนำมาถ่วงน้ำหนักรวมกันเป็น “ดัชนีความแข็งแกร่งของแบรนด์” (Brand Strength Index) หรือ BSI นั่นเองครับ โดยคะแนน BSI นี้จะถูกนำไปแปลงเป็น เครดิตเรตติ้งของแบรนด์ (Brand Rating) เช่น AAA+, AA เป็นต้น
- แปลง “ความแข็งแกร่ง” เป็น “มูลค่าแบรนด์” (Royalty Relief Method)
หลังจากประเมินความแข็งแกร่งของแบรนด์แล้ว Brand Finance จะคำนวณว่าถ้าบริษัท “ไม่ได้เป็นเจ้าของแบรนด์ตัวเอง” แต่ต้อง “เช่าใช้ชื่อแบรนด์” แทน เขาจะต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ (Royalty) เท่าไหร่? ฟังอาจดูซับซ้อน แต่จริง ๆ คือหลักคิดง่าย ๆ แบบนี้ครับ
“ถ้า ปตท. ไม่ได้เป็นเจ้าของชื่อ “PTT” แล้วต้องจ่ายค่าเช่าใช้ชื่อนี้ในการดำเนินธุรกิจ ปตท. จะต้องจ่ายปีละกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้?”
ในการกำหนดอัตราค่าลิขสิทธิ์ Brand Finance จะเริ่มจากช่วงอัตราค่าสิทธิของอุตสาหกรรม (Royalty Rate Range) เช่น บางอุตสาหกรรมอาจมีช่วงมาตรฐาน 0–5% จากนั้นจะนำคะแนน BSI ของแบรนด์ไป “วางตำแหน่ง” ในช่วงนั้น เช่น หากแบรนด์มี BSI 80/100 ก็อาจได้อัตราค่าลิขสิทธิ์ประมาณ 4% ซึ่งสะท้อนว่าแบรนด์แข็งแกร่งและมีมูลค่าสูงกว่าแบรนด์ทั่วไปในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ขั้นต่อมาคือการนำ “อัตราค่าลิขสิทธิ์” (Royalty Rate) ที่ได้ ไปคูณกับ “รายได้ในอนาคต” ของบริษัท เพื่อคำนวณว่าถ้าต้องจ่ายค่าเช่าใช้แบรนด์จริง ๆ จะต้องจ่ายเท่าไหร่ ก่อนจะนำตัวเลขเหล่านั้นทั้งหมดมาคิดลดกลับมาเป็น “มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV)” ซึ่งผลลัพธ์สุดท้าย นั่นคือ “มูลค่าแบรนด์” (Brand Value)
- คำนวณ “มูลค่าการรับรู้ด้านความยั่งยืน” (Sustainability Perceptions Value – SPV)
นี่คืออีกหนึ่งขั้นตอนการประเมินสำคัญที่สะท้อนว่า “ความยั่งยืน” มีผลต่อแบรนด์แค่ไหนในสายตาผู้บริโภค ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ ปตท. โดดเด่นอย่างมาก เพราะ Brand Finance ไม่ได้มองแค่ตัวเงิน แต่ดูด้วยว่า “คนรับรู้ว่าบริษัทจริงจังกับความยั่งยืนมากน้อยแค่ไหน”
Brand Finance ใช้สูตรนี้:
มูลค่าแบรนด์ × สัดส่วนผลกระทบด้านความยั่งยืน (Sustainability Driver) × คะแนนการรับรู้ด้านความยั่งยืน (Perception Score) = มูลค่าการรับรู้ด้านความยั่งยืน (SPV)
โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่:
1) Brand Value – มูลค่าแบรนด์
คือมูลค่าในรูปตัวเงินที่คำนวณจากขั้นตอน Royalty Relief ที่อธิบายไปก่อนหน้า
2) Sustainability Driver (%) – สัดส่วนผลกระทบของความยั่งยืนต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค
วัดว่า “ความยั่งยืนมีบทบาทแค่ไหนในการสร้างมูลค่าแบรนด์”
เช่น ถ้าคนเลือกซื้อสินค้าเพราะความยั่งยืนเป็นเหตุผลสำคัญ ค่า Driver จะสูง
3) Sustainability Perceptions Score – คะแนนการรับรู้ด้านความยั่งยืน
คือคะแนนที่สะท้อนว่า “คนทั่วไปมองว่าแบรนด์นี้ยั่งยืนแค่ไหน”
คะแนนนี้จะถูกแปลงเป็นตัวเลขที่นำไปคูณร่วมกับค่าอื่น ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สุดท้าย
เมื่อคูณทั้งสามค่าเข้าด้วยกัน ก็จะได้ Sustainability Perceptions Value (SPV) หรือ “มูลค่าทั้งหมดที่มาจากการที่ผู้คนรับรู้ว่าแบรนด์มีความยั่งยืน”
เมื่อ ปตท. ยืนหนึ่งในทุกมิติ
พอเราเข้าใจเรื่องหลักการประเมินกันไปแล้ว ทีนี้มาดู “ผลลัพธ์” การประเมินของ ปตท. กันครับ ว่าทำไม ปตท. ถึงคู่ควรกับตำแหน่งแชมป์ 5 ปีซ้อน
- ยืนหนึ่งในไทย และเป็นหนึ่งเดียวในเวทีโลก: ปี 2025 Brand Finance ประเมิน มูลค่าแบรนด์ ปตท. อยู่ที่ 9.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 11% และที่น่าภูมิใจคือ ปตท. ยังคงเป็น แบรนด์ไทยเพียงแบรนด์เดียวที่ติดอันดับ Brand Finance Global 500 2025 (500 แบรนด์มูลค่าสูงสุดของโลก) โดยอยู่ที่ อันดับที่ 249 ของโลก
- ยืนหนึ่งด้านความยั่งยืน: ปตท. มีผลดัชนีการรับรู้ด้านความยั่งยืน (Sustainability Perceptions Index 2025) สูงที่สุดในประเทศติดต่อกันเป็นปีที่ 2 และมีมูลค่าการรับรู้ด้านความยั่งยืน สูงถึง 792 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นแบรนด์ไทยเพียงแบรนด์เดียวที่ติดอันดับ “Global Top 500 ด้านความยั่งยืน” (Sustainability Perceptions Index) โดยอยู่ใน อันดับที่ 202 ของโลก
- ยืนหนึ่งด้านผู้นำ: ดร. คงกระพัน อินทรแจ้ง CEO ของ ปตท. ได้รับการจัดอันดับอยู่ใน อันดับที่ 66 จาก 100 CEO ชั้นนำของโลก (Brand Guardianship Index) และเป็น อันดับ 4 ของผู้นำกลุ่มพลังงานโลก
ปตท. ไม่ได้สร้างแค่ “การรับรู้” แต่ “ลงมือทำ”
ส่วนสุดท้ายนั้นคือผลลัพธ์ที่จับต้องได้ครับ Brand Finance เขามีค่าวัดตัวหนึ่งชื่อ “Positive Sustainability Gap” (ช่องว่างความยั่งยืนเชิงบวก) มันคือการวัดว่า “สิ่งที่บริษัททำจริง” (Performance) กับ “สิ่งที่คนรับรู้” (Perception) นั้นต่างกันแค่ไหน
และ ปตท. คือแบรนด์ที่มี “ช่องว่างเชิงบวก” นี้ สูงสุดในประเทศไทย คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ซึ่ง Brand Finance อธิบายว่า นี่คือ “ส่วนต่างระหว่างการรับรู้ของผู้บริโภคกับผลการดำเนินงานจริง” แปลว่า สิ่งที่ ปตท. “ทำจริง” ด้านความยั่งยืนนั้น “ดีกว่า” การรับรู้ของสาธารณชนครับ ซึ่ง “การทำจริง” ที่ว่านี้ คือสิ่งที่ ปตท. มุ่งมั่นดำเนินการมาตลอด เช่น
- ลงทุนใน เทคโนโลยีดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) และพัฒนา CCS Hub Model
- สร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจ LNG มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย LNG ในภูมิภาค
พี่วาฬเลยขอสรุปปิดท้ายแบบชัด ๆ ครับว่า การที่ “มูลค่าแบรนด์ ปตท.” ยืนหนึ่ง 5 ปีซ้อน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่สะท้อนออกมาจากการ “ลงมือทำ” จริงจนเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและโดดเด่นในเวทีโลกด้านความยั่งยืนอย่างแท้จริงครับ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
https://www.pttplc.com/th/Media/News/Content-41841.aspx
https://brandfinance.com/press-releases/ptt-is-aseans-third-most-valuable-brand-in-2025

